วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557






พระพุทธรูปศิลปะอู่ทอง


               ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้กล่าวถึงคุณค่าของพระพุทธรูปศิลปะอู่ทองในงาน "เรื่องประติมากรรมไทย" ว่า "ศิลปะอู่ทองมีค่ายิ่งกว่าของอยุธยาและรัตนโกสินทร์ โดยเหตุที่มีแบบวิธีแปลกและมีคุณค่าของศิลปะอู่ทอง เป็นอาการปรากฏดีที่สุดในหมู่สกุลช่างต่างๆ ของพระพุทธปฏิมาศิลปะสุโขทัยและศิลปะอู่ทองนั้นมีลักษณะตรงกันข้าม ศิลปะสุโขทัยมีวงรูปนอกและรายละเอียดประณีตสุขุม ทำให้เห็นอย่างบริบูรณ์ซึ่งพระรูปโฉมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนศิลปะอู่ทองมีลายเส้นคร่ำเคร่งและตึงเครียด และมีลายเส้นขนาดใหญ่ เป็นอาการสำแดงบ่งให้เห็นว่าพระพุทธองค์ยังมีอำนาจแห่งจิตที่จะเอาชนะแก่ โลกีย์ และค้นหาทางหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดให้ถึงซึ่งวิมุตติ (ความหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง)"

เราอาจแบ่งพระพุทธรูปอู่ทองได้เป็น 3 ประเภทได้แก่

             พระพุทธรูปอู่ทอง รุ่น 1 หรืออู่ทองหน้าแก่ พบในเขตเมืองสรรคบุรี จ.ชัยนาท มีพระพักตร์เหลี่ยม พระนลาฏกว้าง เม็ดพระศกคมชัด ความกว้างของพระนลาฏรับกับแนวพระขนงที่ต่อกันคล้ายปีกกา พระหนุป้านเป็นอย่างที่เราเรียกว่า คางคน

             พระพุทธรูปอู่ทอง รุ่น 2 หรืออู่ทองหน้ากลาง จะมีพัฒนาการคลายความเคร่ง ขรึมที่พระพักตร์ลง มีลักษณะคล้ายมนุษย์สามัญมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงการค่อยๆ ลดอิทธิพลทางศิลปะแบบขอมลง ตัวอย่างได้แก่ พระเจ้าพนัญเชิง หรือพระพุทธไตรรัตนนายก วัดพนัญเชิง จ.พระนคร ศรีอยุธยา

             พระพุทธรูปอู่ทอง รุ่น 3 หรืออู่ทองหน้าหนุ่ม มีอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยมากขึ้น พระพักตร์รูปไข่ พระนลาฏแคบ พระวรกายเพรียวบางครั้งพบในลักษณะแข้งคมเป็นสัน เรียกว่า แข้งสัน พบมากในกรุปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา)

...... พระพุทธรูปอู่ทอง นับเป็นต้นแบบของการสร้าง "พระผงสุพรรณ" หนึ่งในพระยอดนิยมของไทยชุดเบญจภาคี ที่เน้ความละม้ายคล้ายคลึงมนุษย์ อีกทั้งลักษณะการแบ่งจำแนกพิมพ์และการเรียกชื่อก็เหมือนกันคือ พิมพ์หน้าแก่ พิมพ์หน้ากลาง และพิมพ์หน้าหนุ่ม ครับผม

ทางภาคเหนือของประเทศไทย กำลังรุ่งโรจน์ด้วยพุทธิลป์เชียงแสน และสุโขทัยอยู่นั้น ทางภาคกลางแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ก็กำลังรุ่งเรืองอยู่กับการสร้างพระพุทธรูป ซึ่งมีชื่อเรียกกันในเวลาต่อมาว่า " พระพุทธรูปอู่ทอง" ทั้งสามสกุลที่ได้กล่าวมานี้ สร้างโดยช่างชาวไทยทั้งสิ้น แต่มีลีลาการสร้างงดงามต่างแบบกันไป



ด้วยพระนามอันเป็นมงคล
                          พระพุทธรูปสมัยอู่ทอง แหล่งที่รวมแห่งธนสารสมบัติ
                          พระพุทธรูปสมัยเชียงแสน ร่ำรวยสินทรัพย์นับแสน
                          พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ความสุขโขภิญโญตลอดชาติ


ยิ่งเมื่อคำนึงถึงนามอันเป็นศิริมงคลของทั้งสามสกุลแล้ว จึงมีแต่ความหมายของความเพียบพร้อมไปเสียทุกประการ ทำให้เป็นยอดปราถนาของนักสัะสมตลอดมา เพื่อให้ครบชุด "มหาไตรภาคี" นั่นเอง

.....พระพุทธรูปอู่ทองได้รับการวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะว่าทรง ไว้ซึ่งคุณค่ายิ่งกว่าพระพุทธรูปสมัยอยุธยา และรัตนโกสินทร์ เสมอทัดเทียมกับพระพุทธรูปสกุลสุโขทัย และเชียงแสน แต่มีลักษณะในทางตรงกันข้าม เนื่องจากพระพุทธรูปอู่ทองมีทรวดทรงสำแดงไปในทางแข็งกร้าว พระพักตร์ขึงขัง เป็นอาการที่กำลังเพ่งอยู่ในญานแก่กล้า จะสังเกตุได้จากพระพุทธรูปอู่ทองในยุคต้น ๆ

.....พุทธลักษณะของพระ พุทธรูปสกุลอู่ทองส่วนใหญ่ มีลักษณะพระวรกายสูงชลูด พระพักตร์มีไรพระศกเป็นกรอบรอบวงพระพักตร์ พระหนุป้านเป็นรูปคางคน ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี ฐานมักเป็นแบบหน้ากระดานแอ่นเป็นร่องเว้าเข้าไปข้างใน พระพุทธรูปส่วนมากมักสร้างเป็นปางมารวิชัย นั่งสมาธิราบ พระพุทธรูปจึงเป็นที่นิยมในนักสะสมบางกลุ่มเป็นอย่างยิ่งเนื่องจาก มีพุทธลักษณะที่สร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ คล้ายคลึงกับรูปกายของสามัญมนุษย์ และมีท่าทีเข้มแข็งเด็ดขาดดูน่าเกรงขาม

.....จากแหล่งที่ได้มีการค้น พบพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง นักโบราณคดีบางท่านได้สันนิษฐานว่า พระพุทธรูปสมัยอู่ทองได้ถือกำเนิดขึ้นในเขตสุพรรณบุรี ซึ่งแปลจากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงนามว่า "สุพรรณภูมิ" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า อู่ทองสุพรรณภูมิ นั่นเอง

.....ส่วนอีก หลาย ๆ แหล่งที่ได้พบพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง คือ จังหวัดกำแพงเพชร ชัยนาท นครสวรรค์ สุโขทัย และพิษณุโลก เป็นที่เชื่อกันว่าพระพุทธรูปอู่ทองได้รับอิทธิพลมากจาก พระพุทธรูปสมัยทวาราวดีรุ่นหลัง พระพุทธรูปสมัยลพบุรี และสุโขทัยตามลำดับ

......บางท่านอาจเข้าใจว่า "พระพุทธรูปสมัยอู่ทอง” กับ “พระพุทธรูปสมัยอู่ทองสุวรรณภูมิ" เป็นพระพุทธรูปที่ถือกำเนิดในสมัยเดียวกัน ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นคนละสมัย "พระพุทธรูปสมัยอู่ทองสุวรรณภูมิ" ถือเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธรูปศิลปะของคนไทย สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ 17 หลังสมัยทวารวดี จึงเป็นศิลปะที่สืบทอดต่อจากศิลปะสมัยทวารวดี เรียกได้ว่าเป็นยุคต้นๆ ที่พุทธศาสนาเผยแผ่มาสู่ชมพูทวีป โดยมีดินแดนสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลาง

ส่วน "พระพุทธรูปสมัยอู่ทอง" นั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เป็นรอยต่อระหว่างศิลปะสุโขทัยและศิลปะอยุธยา มีอายุอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 20 นับว่าห่างกันมาก

....."พระพุทธรูปสมัยอู่ทองสุวรรณภูมิ" ถือเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธรูปศิลปะของคนไทย สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ 17 หลังสมัยทวารวดี จึงเป็นศิลปะที่สืบทอดต่อจากศิลปะสมัยทวารวดี เรียกได้ว่าเป็นยุคต้นๆ ที่พุทธศาสนาเผยแผ่มาสู่ชมพูทวีป โดยมีดินแดนสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลาง ส่วน "พระพุทธรูปสมัยอู่ทอง" นั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เป็นรอยต่อระหว่างศิลปะสุโขทัยและศิลปะอยุธยา มีอายุอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 20 นับว่าห่างกันมาก

.....แต่ถ้าพูดกันถึงเรื่องพระพุทธรูปบูชาแล้ว อาจกล่าวได้ว่า "พระพุทธรูปสมัยอู่ทอง" ถือเป็นศิลปะสกุลช่างที่รังสรรค์งานปฏิมากรรมสัมฤทธิ์ ที่มีคุณค่าด้านศิลปะค่อนข้างสูงในหมู่พระพุทธปฏิมากรรมทั้งหลาย ดังที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้กล่าวถึงในงาน "เรื่องพระปฏิมากรรมไทย" ว่า

"…ศิลปะ อู่ทองมีค่ายิ่งกว่าของอยุธยาและรัตนโกสินทร์ โดยเหตุที่มีแบบวิธีแปลกและมีคุณค่าของศิลปะอู่ทอง เป็นอาการปรากฏดีที่สุดในหมู่สกุลช่างต่างๆ ของพระพุทธปฏิมากรรม...ศิลปะสุโขทัยและศิลปะอู่ทองนั้นมีลักษณะตรงกันข้าม ศิลปะสุโขทัยมีวงรูปนอกและรายละเอียดประณีตสุขุม ทำให้เห็นอย่างบริบูรณ์ซึ่งพระรูปโฉมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนศิลปะอู่ทองมีลายเส้นคร่ำเคร่งและตึงเครียด และมีลายเส้นขนาดใหญ่ เป็นการสำแดงบ่งให้เห็นว่าพระพุทธองค์ยังมีอำนาจแห่งจิตที่จะเอาชนะแก่ โลกีย์ และค้นหาทางหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดให้ถือซึ่งวิมุติ (ความหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง)…"

.....หรือ จากความคิดเห็นของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ อดีตหัวหน้ากองพิพิธภัณฑ์และโบราณวัตถุ กระทรวงธรรมการ และหัวหน้ากองโบราณคดี ว่า
......"ศิลปะแบบอู่ทอง" คลี่คลายมาจากการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบทวารวดีกับศิลปะขอม กล่าวคือการที่ขอมเข้ามามีอำนาจในแหลมอินโดจีนมิได้ทำให้งานทางศิลปกรรมของ "รัฐ" ดั้งเดิมอันได้แก่ทวารวดีหยุดชะงักลง หากแต่ยังคงสืบทอดต่อเนื่องโดยคติความเชื่อแบบพุทธหินยานผสมกลมกลืนกับลัก ษณาการอันเข้มขลังของคติขอม....

พระเจ้าล้านตื้อ

                                     รัศมีพระเจ้าล้านตื้อ ที่นำขึ้นจากแม่น้ำโขง


ลำน้ำโขงเป็นสายน้ำใหญ่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนสองฝากฝั่ง สายน้ำไหลเชี่ยว ดุดัน จากจีน มุ่งผ่าน พม่า ไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ประวัติศาสตร์ ของชาติต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำโขง จึงหนีไม่พ้นสายน้ำแห่งนี้

           น้ำโขงไหล ผ่านทวีปนี้ราวกับมีชีวิต 10 ปี ไหลไปทางหนึ่ง 100 ปี ไหลไปอีกทางหนึ่ง เปลี่ยนทางไปอีกทางหนึ่ง มีตำนานเล่าว่าถึงเกาะเก่าแก่กลางลำแม่น้ำโขง “เกาะดอนแท่น” เดิมทีเป็นผืนดินในไทยโดยเป็นทีอาศัยของผู้คนเชียงแสนในยุคก่อน เกาะแห่งนี้เป็นที่ตั้งของวัดโบราณกว่า 10 วัด

.......ตามที่ระบุไว้ในพงศาวดาร เมืองเงินยางเชียงแสนภาคที่ 61 ที่สำคัญยังเป็นที่ตั้งของ วัดพระเจ้าทองทิพย์ อันเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพทุธรูปสำริดขนาดใหย่ ซึ่งชาวบ้านกล่าวขานนามว่า “พระเจ้าล้านตื้อ คำว่า ตื้อ คือ มาตราวัดของชาวล้านนา หมายถึงโกฏิ ดังนั้นคำว่า "ล้านตื้อ" ก็หมายถึงองค์พระนี้มีขนาดและน้ำหนักมาก สันนิฐานว่าองค์พระคงจมลงไปพร้อมกับเกาะดอนแท่น ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณน้ำโขงหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน

         ประจักษ์ พยานที่ชัดเจนคือ พระรัศมีพระเจ้าล้านตื้อ ซึ่งมีขนาดกว้าง 55 CM สูง 70 CM คาดกันว่าพระรัศมีถูกงมขึ้นมาก่อนปี พ.ศ.2446 และมีการประมาณว่าพระเจ้าล้านตื้อหากมีอยู่จริง หน้าตักคงกว้างประมาณราว 8.5 m สูง 10 m จัดว่าเป็นอภิมหาพุทธปฏิมายุคเชียงแสน

......อย่างไร ก็ตามคำเล่าขานจึงไม่ใช่เรื่องที่ฝังนิ่งอยู่ในตำนานแต่เป็น เรื่องจริงต้องรอคอยว่าวันหนึ่งองค์พระเจ้าล้านตื้อจะกลับมาสู่เมือง วิธีการกลับคืนมาสู่เมืองจะเป็นอย่างไร คงต้องรอติดตามอย่างใจจดใจจ่อ ส่วนจะกลับมาในรุ่นเรา รุ่นลูก หรือรุ่นหลาน หรือกว่านั้น ก็ต้องรอคอยด้วยดวงใจอันศรัทธาเหมือนกัน






:: ตามรอยพระเจ้าล้านตื้อ ::

......จากคำบอกเล่าของชาวเชียงแสน ที่บันทึกไว้ในหนังสือตามรอยพระเจ้าล้านทองทิพ (พระเจ้าล้านตื้อ) ประวัติศาสตร์ลำน้ำโขงเมืองเชียงแสน (หาซื้อได้ ที่พิพิธภันฑ์สถานแห่งชาติ เชียงแสน กล่าวว่า

"......คืนที่พบพระพุทธรูปกลางลำน้ำโขงครั้งแรก เมือราวปี พ.ศ.2479 พรานหาปลา ผู้หนึ่งทอดแหหาปลาอยู่กลางน้ำโขงบริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงแสนได้ เห็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่โพล่ขึ้นมากลางน้ำจำได้ว่ามีพระรัศมีบนพระเกศาและ เห็นส่วนพระเศียรเพียงแค่พระหนุ แต่อย่างไรก็ตาม การพบเห็นของพรานปลาผู้นั้นขัดกับหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ที่ว่าการอำเภอเชียงแสนค้นพบพระรัศมีนั้นพบก่อน ปี พ.ศ.2446

...... เมื่อครั้งแรกได้นำไปประดิษฐานไว้ที่วัดคว้าง (หลังตลาดเชียงแสน) ต่อมาย้ายไปรักษาที่วัดปงสนุก และวัดมุงเมืองตามลำดับ เมื่อสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ เสร็จจึงนำออกแสดงจนมาถึงทุกวันนี้ ต่อมาในปี พ.ศ.2488 มีพรานปลาอีกคนหนึ่งพบเสาวิหารขนาดใหญ่จำนวน 2-3 ต้นล้มทับกันจมอยู่ในน้ำโขง ลึกราว 4 เมตร ที่บริเวณสามแยกหน้าสถานีตำรวจ

...... ครั้นถึงปี พ.ศ.2492–2493 เพียสมบูรณ์ (ชาวลาวอพยพมาตั้งถิ่นฐานในอำเภอเชียงแสน) ฝันว่าพระพุทธรูปล้มคว่ำพระเศียรลง หันไปทางทิศใต้ ดังนั้นราวเดือนกุมภาพันธ์–มีนาคม ของปีเดียวกันนั้นจึงมีการลงคลำหาพระพุทธรูปกันอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากตั้งศาลเพียงตาขึ้นในบริเวณเกาะดอนแท่นและทำพิธีบวงสรวงพระพุทธ รูป เตรียมเรือเหล็กขนาดใหญ่ 2 ลำ พร้อมช้าง 3-4 เชือก นิมนต์พระสงฆ์ทำพิธี เนื่องจากกระแสน้ำแรงและเย็นมากจึงไม่อาจพบพระรูปแต่อย่างใด

...... ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์–เดือนมีนาคม พ.ศ.2509 อิตาเลียน–ไทย จำกัด ได้สัมปทานการสร้างสนามบินในหลวงพระบาง มาพักอยู่ที่เชียงแสน (สมัยนั้นการเดินทางไปหลวงพระบางต้องใช้วิธีการเดินเรือจากเชียงแสนไปถึงจะ สะดวกที่สุด) นายชูสง่า ไชยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ขณะนั้นจึงได้ให้ทางบริษัทฯ ดังกล่าว ส่งนักประดาน้ำและอุปกรณ์ต่างๆเพื่อค้นหาและกู้เอาพระพุทธรูปขึ้นมา ซึ่งเป็นจุดที่เกาะกลางน้ำตรงหน้าสถานีตำรวจบริเวณดังกล่าวเป็นน้ำวน เชี่ยวมาก นักประดาน้ำทนความเย็นไม่ไหว การค้นหาในตอนนั้นจึงไม่ประสบผลสำเร็จ ได้เพียงพระพุทธรูปองค์เล็ก และโบราณวัตถุอื่นๆอีกเพียงเล็กน้อยจึงหยุดค้นหา

.....การ ค้นหาพระพุทธรูปที่จมอยู่ในลำน้ำโขง ตั้งแต่การพบครั้งแรกจนกระทั้งถึงทุกวันนี้กว่า 70 ปีแล้วเรื่องราวยังเป็นที่สนใจและถูกเล่าขานผ่านลูกหลานชาวเชียงแสน เมื่อสืบทอดผ่านกันมาจึงกลายเป็นตำนานและนิทานพื้นบ้าน
 :: ขบวนการค้าของเก่าระดับโลก บีบไทยเลิกค้นหาพระเจ้าล้านตื้อในแม่น้ำโขง ::

......ทีมค้นหา “พระเจ้าล้านตื้อ-วัตถุโบราณ” กลางแม่น้ำโขง ต้องเลิกกะทันหัน สปป.ลาว ไม่ให้ขึ้นเกาะที่โผล่ขึ้นมาหลังน้ำแห้ง อ้างผิดสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ขณะที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้มีพระพุทธรูปเก่าแก่จมใต้แม่น้ำโขงจริง กลุ่มสภาวัฒนธรรมฯ เตรียมขอกรมศิลป์ส่งทีมช่วยอีกรอบในฤดูฝน เมื่อน้ำท่วมเกาะ

......รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ระหว่างวันที่ 11-13 พ.ค. 2552 กรมทรัพยากรธรณี ร่วมกับประชาชนชาวเชียงแสนโดยมีสภาวัฒนธรรม อ.เชียงแสน เป็นหน่วยงานประสานงานมีกำหนดทำการค้นหาโบราณวัตถุกลางแม่น้ำโขงบริเวณด้าน หน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน

......หลังจากเมื่อเดือน มิ.ย.2549 กรมทรัพยากรธรณีเคยนำเรือและเครื่องโซน่า เข้าค้นหาโบราณวัตถุตามคำบอกเล่าและหลักฐานพระรัศมีสัมริด ของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 70 เซ็นติเมตร เมื่อคำนวณว่า จากพระรัศมีดังกล่าวพบว่า จะได้องค์พระพุทธรูปสูงถึง 9 เมตร ซึ่งตามประวัติเรียกขานชื่อกันว่า “พระเจ้าทองทิพหรือพระเจ้าล้านตื้อ” จนพบวัตถุต้องสงสัยที่ไม่ใช่มาจากธรรมชาติมาก่อนหน้านี้แล้ว

....... อย่างไรก็ตาม หลังการค้นหา 1 วันที่ผ่านมา คณะจากกรมทรัพยากรธรณีและชาวบ้านที่ไปมุงดูหลายร้อยคนต่างก็ต้องผิดหวัง เพราะจุดที่กรมทรัพยากรธรณีเคยกำหนดเอาไว้ว่า พบวัตถุต้องสงสัยใต้น้ำ ในปัจจุบันกลับมีสภาพเป็นเกาะทรายกว้าง อันเกิดจากการเกาะกันของตะกอนดินทรายกลางแม่น้ำโขง และตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ก็ระบุให้เกาะกลางแม่น้ำโขงเป็นของ สปป.ลาว ด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปค้นหาบริเวณดังกล่าวได้ ทั้งๆ ที่ได้มีการนำเครื่องมือขุดเจาะไปแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว ก็ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปบนเกาะแต่อย่างใด สายข่าวระดับสูงจาก สปป.ลาว รายงานว่า ขบวนการค้าโบราณวัตถุระดับโลก ได้ใช้เงินพร้อมบังคับไม่ให้รัฐบาลลาวอนุญาตให้ไทย ค้นหาพระเจ้าล้านตื้อ เพราะต้องการนำไปขายในตลาดมืดเอง

ดังนั้นฝ่ายประเทศไทยทำได้แค่สำรวจ เฉพาะในฝั่งแม่น้ำโขงเขตไทยเท่านั้น ซึ่งจะทำได้ก็เฉพาะหน้าน้ำหลาก อันหมายความว่า จะค้นยังไงก็ไม่พบเพราะน้ำเชี่ยวและลึก เมื่อถึงเวลานั้น แต่ประเทศ สปป.ลาว กลับทำได้ทุกเวลาที่ต้องการ....มึนกันไม๊ ท่านผู้อ่าน

.... นายบุญส่ง เชื้อเจ็ดตน ประธานสภาวัฒนธรรม อ.เชียงแสน กล่าวว่า หลังจากทำพิธีบวงสรวงกันตามประเพณีแล้วกรมทรัพยากรธรณี ซึ่งเดินทางไปค้นหาพระเจ้าล้านตื้อที่หน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน หลายครั้ง ก็เริ่มนำเครื่องมือที่ทันสมัยลงไปหาในน้ำ และเตรียมเครื่องมือทางบกเอาไว้ด้วย แต่ปรากฏว่าจุดที่เคยกำหนดเอาไว้ว่าเคยพบวัตถุที่เชื่อว่าจะเป็นพระเจ้าล้าน ตื้อ กลับเป็นเกาะกลางแม่น้ำโขงไปเสีย

..... จึงนับว่าน่าเสียดายอย่างมาก เพราะเราใกล้ความจริงมาทุกขณะ แต่ก็ต้องยกเลิกไป ดังนั้นตนในฐานะชาวเชียงแสน จะขอให้ทางกรมทรัพยากรธรณีนำเครื่องมือกลับไปสำรวจหาอีกครั้งในเดือน ก.ย.- ต.ค. 2552 เพราะเป็นช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำจะท่วมเกาะจนหมดทำให้สามารถแล่นเรือไปได้โดยไม่ต้องติดเรื่องสนธิสัญญา ระหว่างประเทศ

......นายบุญส่งกล่าวอีกว่า จุดที่เจ้าหน้าที่กำหนดเอาไว้จากการใช้โซน่าห่างจากเรือกลางแม่น้ำโขงเพียง ประมาณ 100 เมตรเท่านั้น หากเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว ยินยอมก็จะใช้เวลาค้นหาเพียงแค่ 1 วันก็จะเห็นผลแล้ว แต่เมื่อไม่ยินยอมก็ทำให้คณะต้องค้นหาจุดอื่นตั้งแต่หน้าวัดผ้าขาวป้านไปจน ถึงบริเวณท่าเรือเชียงแสน ซึ่งก็ไม่พบสิ่งใดเพราะไม่ใช่จุดที่เครื่องโซน่าฉายพบวัตถุต้องสงสัย ดังนั้นจึงได้แต่หวังว่าทางเจ้าหน้าที่ไทยจะเห็นความสำคัญ เข้ามาดำเนินการอีกครั้งเพราะใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว

........รายงาน ข่าวแจ้งว่า ที่ผ่านมาปัจจุบันพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน ได้ระบุข้อความภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสนว่า ชาวเชียงแสนซึ่งตั้งถิ่นฐานมานาน 25-65 ปี เชื่อว่าบริเวณหน้าเมืองเชียงแสน มีพระเจ้าล้านตื้อหรือพระเจ้าทองทิพ จมอยู่กลางแม่น้ำโขงตามที่บรรพบุรุษเคยเล่าให้ฟัง และการค้นหาพระเจ้าล้านตื้อ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 โดยพรานหาปลาที่ทอดแหและได้เห็นเศียรพระพุทธรูปขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมากลางน้ำ แต่ไม่มีพระรัศมีบนพระเกตุมาลา สอดคล้องกับหลักฐานที่ค้นพบเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน ซึ่งเป็นพระรัศมีสำริดขนาดใหญ่ ที่นำไปเก็บรักษาไว้ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสนดังกล่าว

.......... จากนั้นก็มีค้นหาตามประสาชาวบ้าน และปรากฏเรื่องราวปาฏิหาริย์หลายครั้ง เช่น เรือของเจ้าหน้าที่ ที่ไปค้นหาบริเวณดังกล่าวถูกแรงดันให้เรือถอยออกมา เกิดฝนฟ้าตกคะนองเมื่อเข้าใกล้จุดดังกล่าว เป็นต้น

.......... รายงานข่าวแจ้งอีกว่าเอกสารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสนสรุปอีกว่า เรื่องนี้ถูกเล่าขานจากชาวเชียงแสนและคนต่างถิ่นสืบทอดกันมานานจึงมิใช่ ตำนานหรือนิทานพื้นบ้าน และสันนิษฐานได้ว่าพระเจ้าทองทิพ หรือพระเจ้าล้านตื้อ รวมทั้งโบราณวัตถุต่างๆ เคยอยู่บนเกาะดอนแท่นหรือเกาะดอนแห้ง กลางแม่น้ำโขง หน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน จริง แต่เกาะได้ล่มลงก่อนที่จะมีการทำสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส เรื่องการแบ่งปันเขตแดน เมื่อปี พ.ศ.2469 และช่วงรัชกาลที่ 1 ก็มีการเผาเมืองจนร้างจึงทำให้เหลือหลักฐานอยู่น้อยมาก

.......... ความจริงและความมีอยู่แห่ง "พระเจ้าล้านตื้อ" ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ในตำนานและพงศาวดารเกี่ยวกับเมืองเชียงแสนเมื่อประมาณ 500-700 ปี เคยระบุถึงเกาะดอนแท่นกลางแม่น้ำโขงหลายครั้ง เช่น

...... พระเจ้าแสนภูสร้างเมืองเชียงแสนทรงประทับอยู่ในวังบนเกาะดอนแท่น ที่บริเวณหน้าเมืองเชียงแสน จนสวรรคตและตั้งพระบรมศพบนเกาะดอนแท่นระยะหนึ่ง หรือ

.....สมัยพระเจ้ากือนา ของเมืองเชียงใหม่ ทรงนำพระสีหลปฏิมาทำพิธีอภิเษกพระบนเกาะดอนแท่น แล้วนำไปประดิษฐานไว้ ณ วัดพระสิงห์ จ.เชียงราย เป็นต้น

ยุคต่อมาเกาะดอนแท่นพังทลายลงในแม่ น้ำโขงเมื่อใดไม่มีผู้ใดทราบ เนื่องจากเมืองเชียงแสนร้างไปตั้งแต่รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถึงรัชกาลที่ 5 จึงคาดว่าจะล่มสลายลงในช่วงเวลาดังกล่าว ปัจจุบัน(๒๕๕๖) ยังไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่า "พระเจ้าล้านตื้อ" ได้ถูกขบวนการค้าโบราณวัตถุระดับโลกนำขึ้นไปแล้วหรือยัง ???

แต่พุทธ ศาสนิกชนไทย ล้วนเชื่อในพุทธานุภาพว่า พระเจ้าล้านตื้อ จะไม่มีวันอยู่ในมือพวกเดียรถีย์นอกศาสนาอย่างแน่แท้ และมั่นใจว่า วันหนึ่งข้างหน้าในอนาคต ผู้มีบุญจะมานำพระเจ้าล้านตื้อขึ้นจากลำน้ำโขงได้อย่างสะดวกง่ายดาย.....