พระพุทธรูปศิลปะอู่ทอง
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้กล่าวถึงคุณค่าของพระพุทธรูปศิลปะอู่ทองในงาน "เรื่องประติมากรรมไทย" ว่า "ศิลปะอู่ทองมีค่ายิ่งกว่าของอยุธยาและรัตนโกสินทร์ โดยเหตุที่มีแบบวิธีแปลกและมีคุณค่าของศิลปะอู่ทอง เป็นอาการปรากฏดีที่สุดในหมู่สกุลช่างต่างๆ ของพระพุทธปฏิมาศิลปะสุโขทัยและศิลปะอู่ทองนั้นมีลักษณะตรงกันข้าม ศิลปะสุโขทัยมีวงรูปนอกและรายละเอียดประณีตสุขุม ทำให้เห็นอย่างบริบูรณ์ซึ่งพระรูปโฉมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนศิลปะอู่ทองมีลายเส้นคร่ำเคร่งและตึงเครียด และมีลายเส้นขนาดใหญ่ เป็นอาการสำแดงบ่งให้เห็นว่าพระพุทธองค์ยังมีอำนาจแห่งจิตที่จะเอาชนะแก่ โลกีย์ และค้นหาทางหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดให้ถึงซึ่งวิมุตติ (ความหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง)"
เราอาจแบ่งพระพุทธรูปอู่ทองได้เป็น 3 ประเภทได้แก่
พระพุทธรูปอู่ทอง รุ่น 1 หรืออู่ทองหน้าแก่ พบในเขตเมืองสรรคบุรี จ.ชัยนาท มีพระพักตร์เหลี่ยม พระนลาฏกว้าง เม็ดพระศกคมชัด ความกว้างของพระนลาฏรับกับแนวพระขนงที่ต่อกันคล้ายปีกกา พระหนุป้านเป็นอย่างที่เราเรียกว่า คางคน
พระพุทธรูปอู่ทอง รุ่น 2 หรืออู่ทองหน้ากลาง จะมีพัฒนาการคลายความเคร่ง ขรึมที่พระพักตร์ลง มีลักษณะคล้ายมนุษย์สามัญมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงการค่อยๆ ลดอิทธิพลทางศิลปะแบบขอมลง ตัวอย่างได้แก่ พระเจ้าพนัญเชิง หรือพระพุทธไตรรัตนนายก วัดพนัญเชิง จ.พระนคร ศรีอยุธยา
พระพุทธรูปอู่ทอง รุ่น 3 หรืออู่ทองหน้าหนุ่ม มีอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยมากขึ้น พระพักตร์รูปไข่ พระนลาฏแคบ พระวรกายเพรียวบางครั้งพบในลักษณะแข้งคมเป็นสัน เรียกว่า แข้งสัน พบมากในกรุปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา)
...... พระพุทธรูปอู่ทอง นับเป็นต้นแบบของการสร้าง "พระผงสุพรรณ" หนึ่งในพระยอดนิยมของไทยชุดเบญจภาคี ที่เน้ความละม้ายคล้ายคลึงมนุษย์ อีกทั้งลักษณะการแบ่งจำแนกพิมพ์และการเรียกชื่อก็เหมือนกันคือ พิมพ์หน้าแก่ พิมพ์หน้ากลาง และพิมพ์หน้าหนุ่ม ครับผม
ทางภาคเหนือของประเทศไทย กำลังรุ่งโรจน์ด้วยพุทธิลป์เชียงแสน และสุโขทัยอยู่นั้น ทางภาคกลางแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ก็กำลังรุ่งเรืองอยู่กับการสร้างพระพุทธรูป ซึ่งมีชื่อเรียกกันในเวลาต่อมาว่า " พระพุทธรูปอู่ทอง" ทั้งสามสกุลที่ได้กล่าวมานี้ สร้างโดยช่างชาวไทยทั้งสิ้น แต่มีลีลาการสร้างงดงามต่างแบบกันไป
พระพุทธรูปสมัยอู่ทอง แหล่งที่รวมแห่งธนสารสมบัติ
พระพุทธรูปสมัยเชียงแสน ร่ำรวยสินทรัพย์นับแสน
พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ความสุขโขภิญโญตลอดชาติ
ยิ่งเมื่อคำนึงถึงนามอันเป็นศิริมงคลของทั้งสามสกุลแล้ว จึงมีแต่ความหมายของความเพียบพร้อมไปเสียทุกประการ ทำให้เป็นยอดปราถนาของนักสัะสมตลอดมา เพื่อให้ครบชุด "มหาไตรภาคี" นั่นเอง
.....พระพุทธรูปอู่ทองได้รับการวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะว่าทรง ไว้ซึ่งคุณค่ายิ่งกว่าพระพุทธรูปสมัยอยุธยา และรัตนโกสินทร์ เสมอทัดเทียมกับพระพุทธรูปสกุลสุโขทัย และเชียงแสน แต่มีลักษณะในทางตรงกันข้าม เนื่องจากพระพุทธรูปอู่ทองมีทรวดทรงสำแดงไปในทางแข็งกร้าว พระพักตร์ขึงขัง เป็นอาการที่กำลังเพ่งอยู่ในญานแก่กล้า จะสังเกตุได้จากพระพุทธรูปอู่ทองในยุคต้น ๆ
.....พุทธลักษณะของพระ พุทธรูปสกุลอู่ทองส่วนใหญ่ มีลักษณะพระวรกายสูงชลูด พระพักตร์มีไรพระศกเป็นกรอบรอบวงพระพักตร์ พระหนุป้านเป็นรูปคางคน ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี ฐานมักเป็นแบบหน้ากระดานแอ่นเป็นร่องเว้าเข้าไปข้างใน พระพุทธรูปส่วนมากมักสร้างเป็นปางมารวิชัย นั่งสมาธิราบ พระพุทธรูปจึงเป็นที่นิยมในนักสะสมบางกลุ่มเป็นอย่างยิ่งเนื่องจาก มีพุทธลักษณะที่สร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ คล้ายคลึงกับรูปกายของสามัญมนุษย์ และมีท่าทีเข้มแข็งเด็ดขาดดูน่าเกรงขาม
.....จากแหล่งที่ได้มีการค้น พบพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง นักโบราณคดีบางท่านได้สันนิษฐานว่า พระพุทธรูปสมัยอู่ทองได้ถือกำเนิดขึ้นในเขตสุพรรณบุรี ซึ่งแปลจากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงนามว่า "สุพรรณภูมิ" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า อู่ทองสุพรรณภูมิ นั่นเอง
.....ส่วนอีก หลาย ๆ แหล่งที่ได้พบพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง คือ จังหวัดกำแพงเพชร ชัยนาท นครสวรรค์ สุโขทัย และพิษณุโลก เป็นที่เชื่อกันว่าพระพุทธรูปอู่ทองได้รับอิทธิพลมากจาก พระพุทธรูปสมัยทวาราวดีรุ่นหลัง พระพุทธรูปสมัยลพบุรี และสุโขทัยตามลำดับ
......บางท่านอาจเข้าใจว่า "พระพุทธรูปสมัยอู่ทอง” กับ “พระพุทธรูปสมัยอู่ทองสุวรรณภูมิ" เป็นพระพุทธรูปที่ถือกำเนิดในสมัยเดียวกัน ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นคนละสมัย "พระพุทธรูปสมัยอู่ทองสุวรรณภูมิ" ถือเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธรูปศิลปะของคนไทย สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ 17 หลังสมัยทวารวดี จึงเป็นศิลปะที่สืบทอดต่อจากศิลปะสมัยทวารวดี เรียกได้ว่าเป็นยุคต้นๆ ที่พุทธศาสนาเผยแผ่มาสู่ชมพูทวีป โดยมีดินแดนสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลาง
ส่วน "พระพุทธรูปสมัยอู่ทอง" นั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เป็นรอยต่อระหว่างศิลปะสุโขทัยและศิลปะอยุธยา มีอายุอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 20 นับว่าห่างกันมาก
....."พระพุทธรูปสมัยอู่ทองสุวรรณภูมิ" ถือเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธรูปศิลปะของคนไทย สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ 17 หลังสมัยทวารวดี จึงเป็นศิลปะที่สืบทอดต่อจากศิลปะสมัยทวารวดี เรียกได้ว่าเป็นยุคต้นๆ ที่พุทธศาสนาเผยแผ่มาสู่ชมพูทวีป โดยมีดินแดนสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลาง ส่วน "พระพุทธรูปสมัยอู่ทอง" นั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เป็นรอยต่อระหว่างศิลปะสุโขทัยและศิลปะอยุธยา มีอายุอยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 20 นับว่าห่างกันมาก
.....แต่ถ้าพูดกันถึงเรื่องพระพุทธรูปบูชาแล้ว อาจกล่าวได้ว่า "พระพุทธรูปสมัยอู่ทอง" ถือเป็นศิลปะสกุลช่างที่รังสรรค์งานปฏิมากรรมสัมฤทธิ์ ที่มีคุณค่าด้านศิลปะค่อนข้างสูงในหมู่พระพุทธปฏิมากรรมทั้งหลาย ดังที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้กล่าวถึงในงาน "เรื่องพระปฏิมากรรมไทย" ว่า
"…ศิลปะ อู่ทองมีค่ายิ่งกว่าของอยุธยาและรัตนโกสินทร์ โดยเหตุที่มีแบบวิธีแปลกและมีคุณค่าของศิลปะอู่ทอง เป็นอาการปรากฏดีที่สุดในหมู่สกุลช่างต่างๆ ของพระพุทธปฏิมากรรม...ศิลปะสุโขทัยและศิลปะอู่ทองนั้นมีลักษณะตรงกันข้าม ศิลปะสุโขทัยมีวงรูปนอกและรายละเอียดประณีตสุขุม ทำให้เห็นอย่างบริบูรณ์ซึ่งพระรูปโฉมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนศิลปะอู่ทองมีลายเส้นคร่ำเคร่งและตึงเครียด และมีลายเส้นขนาดใหญ่ เป็นการสำแดงบ่งให้เห็นว่าพระพุทธองค์ยังมีอำนาจแห่งจิตที่จะเอาชนะแก่ โลกีย์ และค้นหาทางหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดให้ถือซึ่งวิมุติ (ความหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง)…"
.....หรือ จากความคิดเห็นของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ อดีตหัวหน้ากองพิพิธภัณฑ์และโบราณวัตถุ กระทรวงธรรมการ และหัวหน้ากองโบราณคดี ว่า
......"ศิลปะแบบอู่ทอง" คลี่คลายมาจากการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบทวารวดีกับศิลปะขอม กล่าวคือการที่ขอมเข้ามามีอำนาจในแหลมอินโดจีนมิได้ทำให้งานทางศิลปกรรมของ "รัฐ" ดั้งเดิมอันได้แก่ทวารวดีหยุดชะงักลง หากแต่ยังคงสืบทอดต่อเนื่องโดยคติความเชื่อแบบพุทธหินยานผสมกลมกลืนกับลัก ษณาการอันเข้มขลังของคติขอม....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น