รัศมีพระเจ้าล้านตื้อ ที่นำขึ้นจากแม่น้ำโขง
ลำน้ำโขงเป็นสายน้ำใหญ่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนสองฝากฝั่ง สายน้ำไหลเชี่ยว
ดุดัน จากจีน มุ่งผ่าน พม่า ไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ประวัติศาสตร์
ของชาติต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำโขง จึงหนีไม่พ้นสายน้ำแห่งนี้
น้ำโขงไหล
ผ่านทวีปนี้ราวกับมีชีวิต 10 ปี ไหลไปทางหนึ่ง 100 ปี ไหลไปอีกทางหนึ่ง
เปลี่ยนทางไปอีกทางหนึ่ง มีตำนานเล่าว่าถึงเกาะเก่าแก่กลางลำแม่น้ำโขง
“เกาะดอนแท่น”
เดิมทีเป็นผืนดินในไทยโดยเป็นทีอาศัยของผู้คนเชียงแสนในยุคก่อน
เกาะแห่งนี้เป็นที่ตั้งของวัดโบราณกว่า 10 วัด
.......ตามที่ระบุไว้ในพงศาวดาร เมืองเงินยางเชียงแสนภาคที่ 61
ที่สำคัญยังเป็นที่ตั้งของ วัดพระเจ้าทองทิพย์
อันเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพทุธรูปสำริดขนาดใหย่
ซึ่งชาวบ้านกล่าวขานนามว่า “พระเจ้าล้านตื้อ คำว่า ตื้อ คือ มาตราวัดของชาวล้านนา หมายถึงโกฏิ
ดังนั้นคำว่า "ล้านตื้อ" ก็หมายถึงองค์พระนี้มีขนาดและน้ำหนักมาก
สันนิฐานว่าองค์พระคงจมลงไปพร้อมกับเกาะดอนแท่น
ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณน้ำโขงหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน
ประจักษ์
พยานที่ชัดเจนคือ พระรัศมีพระเจ้าล้านตื้อ ซึ่งมีขนาดกว้าง 55 CM สูง 70 CM
คาดกันว่าพระรัศมีถูกงมขึ้นมาก่อนปี พ.ศ.2446
และมีการประมาณว่าพระเจ้าล้านตื้อหากมีอยู่จริง หน้าตักคงกว้างประมาณราว
8.5 m สูง 10 m จัดว่าเป็นอภิมหาพุทธปฏิมายุคเชียงแสน
......อย่างไร
ก็ตามคำเล่าขานจึงไม่ใช่เรื่องที่ฝังนิ่งอยู่ในตำนานแต่เป็น
เรื่องจริงต้องรอคอยว่าวันหนึ่งองค์พระเจ้าล้านตื้อจะกลับมาสู่เมือง
วิธีการกลับคืนมาสู่เมืองจะเป็นอย่างไร คงต้องรอติดตามอย่างใจจดใจจ่อ
ส่วนจะกลับมาในรุ่นเรา รุ่นลูก หรือรุ่นหลาน หรือกว่านั้น
ก็ต้องรอคอยด้วยดวงใจอันศรัทธาเหมือนกัน
:: ตามรอยพระเจ้าล้านตื้อ ::
......จากคำบอกเล่าของชาวเชียงแสน
ที่บันทึกไว้ในหนังสือตามรอยพระเจ้าล้านทองทิพ (พระเจ้าล้านตื้อ)
ประวัติศาสตร์ลำน้ำโขงเมืองเชียงแสน (หาซื้อได้ ที่พิพิธภันฑ์สถานแห่งชาติ
เชียงแสน กล่าวว่า
"......คืนที่พบพระพุทธรูปกลางลำน้ำโขงครั้งแรก
เมือราวปี พ.ศ.2479 พรานหาปลา
ผู้หนึ่งทอดแหหาปลาอยู่กลางน้ำโขงบริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงแสนได้
เห็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่โพล่ขึ้นมากลางน้ำจำได้ว่ามีพระรัศมีบนพระเกศาและ
เห็นส่วนพระเศียรเพียงแค่พระหนุ แต่อย่างไรก็ตาม
การพบเห็นของพรานปลาผู้นั้นขัดกับหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
ที่ว่าการอำเภอเชียงแสนค้นพบพระรัศมีนั้นพบก่อน ปี พ.ศ.2446
......
เมื่อครั้งแรกได้นำไปประดิษฐานไว้ที่วัดคว้าง (หลังตลาดเชียงแสน)
ต่อมาย้ายไปรักษาที่วัดปงสนุก และวัดมุงเมืองตามลำดับ
เมื่อสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ เสร็จจึงนำออกแสดงจนมาถึงทุกวันนี้ ต่อมาในปี
พ.ศ.2488 มีพรานปลาอีกคนหนึ่งพบเสาวิหารขนาดใหญ่จำนวน 2-3
ต้นล้มทับกันจมอยู่ในน้ำโขง ลึกราว 4 เมตร ที่บริเวณสามแยกหน้าสถานีตำรวจ
......
ครั้นถึงปี พ.ศ.2492–2493 เพียสมบูรณ์
(ชาวลาวอพยพมาตั้งถิ่นฐานในอำเภอเชียงแสน)
ฝันว่าพระพุทธรูปล้มคว่ำพระเศียรลง หันไปทางทิศใต้
ดังนั้นราวเดือนกุมภาพันธ์–มีนาคม
ของปีเดียวกันนั้นจึงมีการลงคลำหาพระพุทธรูปกันอย่างจริงจัง
โดยเริ่มจากตั้งศาลเพียงตาขึ้นในบริเวณเกาะดอนแท่นและทำพิธีบวงสรวงพระพุทธ
รูป เตรียมเรือเหล็กขนาดใหญ่ 2 ลำ พร้อมช้าง 3-4 เชือก นิมนต์พระสงฆ์ทำพิธี
เนื่องจากกระแสน้ำแรงและเย็นมากจึงไม่อาจพบพระรูปแต่อย่างใด
......
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์–เดือนมีนาคม พ.ศ.2509 อิตาเลียน–ไทย จำกัด
ได้สัมปทานการสร้างสนามบินในหลวงพระบาง มาพักอยู่ที่เชียงแสน
(สมัยนั้นการเดินทางไปหลวงพระบางต้องใช้วิธีการเดินเรือจากเชียงแสนไปถึงจะ
สะดวกที่สุด) นายชูสง่า ไชยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
ขณะนั้นจึงได้ให้ทางบริษัทฯ ดังกล่าว
ส่งนักประดาน้ำและอุปกรณ์ต่างๆเพื่อค้นหาและกู้เอาพระพุทธรูปขึ้นมา
ซึ่งเป็นจุดที่เกาะกลางน้ำตรงหน้าสถานีตำรวจบริเวณดังกล่าวเป็นน้ำวน
เชี่ยวมาก นักประดาน้ำทนความเย็นไม่ไหว
การค้นหาในตอนนั้นจึงไม่ประสบผลสำเร็จ ได้เพียงพระพุทธรูปองค์เล็ก
และโบราณวัตถุอื่นๆอีกเพียงเล็กน้อยจึงหยุดค้นหา
.....การ
ค้นหาพระพุทธรูปที่จมอยู่ในลำน้ำโขง
ตั้งแต่การพบครั้งแรกจนกระทั้งถึงทุกวันนี้กว่า 70
ปีแล้วเรื่องราวยังเป็นที่สนใจและถูกเล่าขานผ่านลูกหลานชาวเชียงแสน
เมื่อสืบทอดผ่านกันมาจึงกลายเป็นตำนานและนิทานพื้นบ้าน
:: ขบวนการค้าของเก่าระดับโลก บีบไทยเลิกค้นหาพระเจ้าล้านตื้อในแม่น้ำโขง ::
......ทีมค้นหา “พระเจ้าล้านตื้อ-วัตถุโบราณ” กลางแม่น้ำโขง
ต้องเลิกกะทันหัน สปป.ลาว ไม่ให้ขึ้นเกาะที่โผล่ขึ้นมาหลังน้ำแห้ง
อ้างผิดสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส
ขณะที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้มีพระพุทธรูปเก่าแก่จมใต้แม่น้ำโขงจริง
กลุ่มสภาวัฒนธรรมฯ เตรียมขอกรมศิลป์ส่งทีมช่วยอีกรอบในฤดูฝน
เมื่อน้ำท่วมเกาะ
......รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า
ระหว่างวันที่ 11-13 พ.ค. 2552 กรมทรัพยากรธรณี
ร่วมกับประชาชนชาวเชียงแสนโดยมีสภาวัฒนธรรม อ.เชียงแสน
เป็นหน่วยงานประสานงานมีกำหนดทำการค้นหาโบราณวัตถุกลางแม่น้ำโขงบริเวณด้าน
หน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน
......หลังจากเมื่อเดือน มิ.ย.2549
กรมทรัพยากรธรณีเคยนำเรือและเครื่องโซน่า
เข้าค้นหาโบราณวัตถุตามคำบอกเล่าและหลักฐานพระรัศมีสัมริด
ของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 70 เซ็นติเมตร เมื่อคำนวณว่า
จากพระรัศมีดังกล่าวพบว่า จะได้องค์พระพุทธรูปสูงถึง 9 เมตร
ซึ่งตามประวัติเรียกขานชื่อกันว่า “พระเจ้าทองทิพหรือพระเจ้าล้านตื้อ”
จนพบวัตถุต้องสงสัยที่ไม่ใช่มาจากธรรมชาติมาก่อนหน้านี้แล้ว
.......
อย่างไรก็ตาม หลังการค้นหา 1 วันที่ผ่านมา
คณะจากกรมทรัพยากรธรณีและชาวบ้านที่ไปมุงดูหลายร้อยคนต่างก็ต้องผิดหวัง
เพราะจุดที่กรมทรัพยากรธรณีเคยกำหนดเอาไว้ว่า พบวัตถุต้องสงสัยใต้น้ำ
ในปัจจุบันกลับมีสภาพเป็นเกาะทรายกว้าง
อันเกิดจากการเกาะกันของตะกอนดินทรายกลางแม่น้ำโขง
และตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ก็ระบุให้เกาะกลางแม่น้ำโขงเป็นของ สปป.ลาว
ด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปค้นหาบริเวณดังกล่าวได้ ทั้งๆ
ที่ได้มีการนำเครื่องมือขุดเจาะไปแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว
ก็ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปบนเกาะแต่อย่างใด สายข่าวระดับสูงจาก สปป.ลาว
รายงานว่า ขบวนการค้าโบราณวัตถุระดับโลก
ได้ใช้เงินพร้อมบังคับไม่ให้รัฐบาลลาวอนุญาตให้ไทย ค้นหาพระเจ้าล้านตื้อ
เพราะต้องการนำไปขายในตลาดมืดเอง
ดังนั้นฝ่ายประเทศไทยทำได้แค่สำรวจ
เฉพาะในฝั่งแม่น้ำโขงเขตไทยเท่านั้น ซึ่งจะทำได้ก็เฉพาะหน้าน้ำหลาก
อันหมายความว่า จะค้นยังไงก็ไม่พบเพราะน้ำเชี่ยวและลึก เมื่อถึงเวลานั้น
แต่ประเทศ สปป.ลาว กลับทำได้ทุกเวลาที่ต้องการ....มึนกันไม๊ ท่านผู้อ่าน
....
นายบุญส่ง เชื้อเจ็ดตน ประธานสภาวัฒนธรรม อ.เชียงแสน กล่าวว่า
หลังจากทำพิธีบวงสรวงกันตามประเพณีแล้วกรมทรัพยากรธรณี
ซึ่งเดินทางไปค้นหาพระเจ้าล้านตื้อที่หน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน หลายครั้ง
ก็เริ่มนำเครื่องมือที่ทันสมัยลงไปหาในน้ำ
และเตรียมเครื่องมือทางบกเอาไว้ด้วย
แต่ปรากฏว่าจุดที่เคยกำหนดเอาไว้ว่าเคยพบวัตถุที่เชื่อว่าจะเป็นพระเจ้าล้าน
ตื้อ กลับเป็นเกาะกลางแม่น้ำโขงไปเสีย
.....
จึงนับว่าน่าเสียดายอย่างมาก เพราะเราใกล้ความจริงมาทุกขณะ
แต่ก็ต้องยกเลิกไป ดังนั้นตนในฐานะชาวเชียงแสน
จะขอให้ทางกรมทรัพยากรธรณีนำเครื่องมือกลับไปสำรวจหาอีกครั้งในเดือน ก.ย.-
ต.ค. 2552 เพราะเป็นช่วงฤดูน้ำหลาก
น้ำจะท่วมเกาะจนหมดทำให้สามารถแล่นเรือไปได้โดยไม่ต้องติดเรื่องสนธิสัญญา
ระหว่างประเทศ
......นายบุญส่งกล่าวอีกว่า
จุดที่เจ้าหน้าที่กำหนดเอาไว้จากการใช้โซน่าห่างจากเรือกลางแม่น้ำโขงเพียง
ประมาณ 100 เมตรเท่านั้น หากเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว
ยินยอมก็จะใช้เวลาค้นหาเพียงแค่ 1 วันก็จะเห็นผลแล้ว
แต่เมื่อไม่ยินยอมก็ทำให้คณะต้องค้นหาจุดอื่นตั้งแต่หน้าวัดผ้าขาวป้านไปจน
ถึงบริเวณท่าเรือเชียงแสน
ซึ่งก็ไม่พบสิ่งใดเพราะไม่ใช่จุดที่เครื่องโซน่าฉายพบวัตถุต้องสงสัย
ดังนั้นจึงได้แต่หวังว่าทางเจ้าหน้าที่ไทยจะเห็นความสำคัญ
เข้ามาดำเนินการอีกครั้งเพราะใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว
........รายงาน
ข่าวแจ้งว่า ที่ผ่านมาปัจจุบันพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน
ได้ระบุข้อความภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสนว่า
ชาวเชียงแสนซึ่งตั้งถิ่นฐานมานาน 25-65 ปี เชื่อว่าบริเวณหน้าเมืองเชียงแสน
มีพระเจ้าล้านตื้อหรือพระเจ้าทองทิพ
จมอยู่กลางแม่น้ำโขงตามที่บรรพบุรุษเคยเล่าให้ฟัง
และการค้นหาพระเจ้าล้านตื้อ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549
โดยพรานหาปลาที่ทอดแหและได้เห็นเศียรพระพุทธรูปขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมากลางน้ำ
แต่ไม่มีพระรัศมีบนพระเกตุมาลา สอดคล้องกับหลักฐานที่ค้นพบเมื่อประมาณ 100
ปีก่อน ซึ่งเป็นพระรัศมีสำริดขนาดใหญ่
ที่นำไปเก็บรักษาไว้ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสนดังกล่าว
..........
จากนั้นก็มีค้นหาตามประสาชาวบ้าน และปรากฏเรื่องราวปาฏิหาริย์หลายครั้ง
เช่น เรือของเจ้าหน้าที่ ที่ไปค้นหาบริเวณดังกล่าวถูกแรงดันให้เรือถอยออกมา
เกิดฝนฟ้าตกคะนองเมื่อเข้าใกล้จุดดังกล่าว เป็นต้น
..........
รายงานข่าวแจ้งอีกว่าเอกสารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสนสรุปอีกว่า
เรื่องนี้ถูกเล่าขานจากชาวเชียงแสนและคนต่างถิ่นสืบทอดกันมานานจึงมิใช่
ตำนานหรือนิทานพื้นบ้าน และสันนิษฐานได้ว่าพระเจ้าทองทิพ
หรือพระเจ้าล้านตื้อ รวมทั้งโบราณวัตถุต่างๆ
เคยอยู่บนเกาะดอนแท่นหรือเกาะดอนแห้ง กลางแม่น้ำโขง หน้าที่ว่าการ
อ.เชียงแสน จริง แต่เกาะได้ล่มลงก่อนที่จะมีการทำสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส
เรื่องการแบ่งปันเขตแดน เมื่อปี พ.ศ.2469 และช่วงรัชกาลที่ 1
ก็มีการเผาเมืองจนร้างจึงทำให้เหลือหลักฐานอยู่น้อยมาก
..........
ความจริงและความมีอยู่แห่ง "พระเจ้าล้านตื้อ"
ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ในตำนานและพงศาวดารเกี่ยวกับเมืองเชียงแสนเมื่อประมาณ
500-700 ปี เคยระบุถึงเกาะดอนแท่นกลางแม่น้ำโขงหลายครั้ง เช่น
......
พระเจ้าแสนภูสร้างเมืองเชียงแสนทรงประทับอยู่ในวังบนเกาะดอนแท่น
ที่บริเวณหน้าเมืองเชียงแสน จนสวรรคตและตั้งพระบรมศพบนเกาะดอนแท่นระยะหนึ่ง
หรือ
.....สมัยพระเจ้ากือนา ของเมืองเชียงใหม่
ทรงนำพระสีหลปฏิมาทำพิธีอภิเษกพระบนเกาะดอนแท่น แล้วนำไปประดิษฐานไว้ ณ
วัดพระสิงห์ จ.เชียงราย เป็นต้น
ยุคต่อมาเกาะดอนแท่นพังทลายลงในแม่
น้ำโขงเมื่อใดไม่มีผู้ใดทราบ เนื่องจากเมืองเชียงแสนร้างไปตั้งแต่รัชกาลที่
1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถึงรัชกาลที่ 5
จึงคาดว่าจะล่มสลายลงในช่วงเวลาดังกล่าว ปัจจุบัน(๒๕๕๖)
ยังไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่า "พระเจ้าล้านตื้อ"
ได้ถูกขบวนการค้าโบราณวัตถุระดับโลกนำขึ้นไปแล้วหรือยัง ???
แต่พุทธ
ศาสนิกชนไทย ล้วนเชื่อในพุทธานุภาพว่า พระเจ้าล้านตื้อ
จะไม่มีวันอยู่ในมือพวกเดียรถีย์นอกศาสนาอย่างแน่แท้ และมั่นใจว่า
วันหนึ่งข้างหน้าในอนาคต
ผู้มีบุญจะมานำพระเจ้าล้านตื้อขึ้นจากลำน้ำโขงได้อย่างสะดวกง่ายดาย.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น